วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556


ประโยชน์ของแมลง 

  1. เป็นแหล่งอาหารของมนุษย์และสัตว์ 
  2. แมลงช่วยผสมเกสรดอกไม้ เพื่อช่วยในการขยายพันธุ์พืชต่อไป เช่น ผึ้ง ผีเสื้อ เป็นต้น 
  3. แมลงนักสืบ โดยจะใช้ประโยชน์ในการสืบสวนเกี่ยวกับคดีความต่างๆ โดยเฉพาะการสืบสวนคดีอาชญากรรม ซึ่งบางครั้งก็จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  “อาชญนิติเวชกีฎวิทยา” เช่น แมลงวัน แมลงสาบ แมลงหวี่ เป็นต้น 
 4. แมลงดัชนีชี้วัดคุณภาพน้ำ  เป็นตัวตรวจสอบคุณภาพน้ำ เช่น แมลงชีปะขาว จิ้งโจ้น้ำ แมงตับเต่า  แมงกะโซ่ แมงกะซอน เป็นต้น 
  5. แมลงที่เป็นศัตรูธรรมชาติ ช่วยทำลายแมลงอื่นๆ ที่เป็นศัตรูทำลายพืชผลต่างๆ เพื่อรักษาภาวะสมดุลในระบบนิเวศ  ได้แก่ ตัว ห้ำ ตัวเบียน 
  6. ประโยชน์ทางการศึกษา  โดยเฉพาะใช้ทดลองทางด้านวิทยาศาสตร์ เช่น แมลงหวี่ แมลงสาบ




โทษของแมลง


    1. เป็นพาหะนำโรคร้ายแรงหลายโรคมาสู่มนุษย์  เช่น ยุงลายนำโรคไข้เลือดออก ยุงก้นปล่องนำโรคมาลาเรีย ยุงเสือนำโรคเท้าช้าง  และยุงรำคาญนำโรคไข้สมองอักเสบ ส่วนแมลงวันก็เป็นพาหะนำโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารมาสู่คนหลายชนิด เช่น   โรคอหิวาต์ โรคไทฟอยด์ โรคบิด เป็นต้น
    2. สร้างความรำคาญและทำให้สกปรก  เช่น แมงสาบ มด เป็นต้น
    3. แมลงบางชนิด อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากรับประทานเข้าไปในจำนวนมากพอ เช่น ด้วงน้ำมัน เป็นต้น
    4. แมลงที่เป็นอันตราย ได้แก่ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน เป็นต้น ซึ่งจะมีต่อมพิษอยู่ในบริเวณปลายท้อง




ที่มา:http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=4460221892923724038#editor/target
วันที่สืบค้น 1/2/2556


แมลงปอ






แมลงปอ หรือ ที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า มังกรบินจิ๋ว (Dragonfly) ซึ่งถือว่า เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่สามารถดำรงเผ่าพันธุ์ให้อยู่รอดมาได้ จนถึงปัจจุบันนี้นั้น เมื่อนับอายุรวมแล้ว พบว่ามันเป็นสมาชิกกลุ่มหนึ่ง ของโลกที่เกิดขึ้นมานานถึง 300 ล้านปี แมลงปอจัดเป็นแมลงชนิดหนึ่ง ในกลุ่มไฟลั่ม อาร์โทรโปดา(Phylum Arthropoda) ซึ่งมีการขุดพบฟอสซิล ที่แสดงให้เห็นว่า มันเคยอาศัยอยู่ในยุค Carboniferous ซึ่งเป็นยุคที่เริ่ม มีการปรากฏตัวของแมลงปอ และแมลงปอเข็ม

ส่วนหัวของแมลงปอจะประกอบด้วย สองส่วนหลักคือ ดวงตาขนาดใหญ่ 2 ดวง ที่ภายในดวงตาใหญ่แต่ละข้างนั้น ก็ จะเต็มไปด้วยดวงตาขนาดเล็กๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นรูป 6 เหลี่ยม อีกนับแสนดวง ซึ่งเป็นสิ่ง ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเพื่อ ช่วยให้มันสามารถมองเห็น และจับเหยื่อที่มีขนาดเล็กได้ อีกส่วนก็คือ เขี้ยวที่ปาก ซึ่งมีไว้เพื่อกัดกินสัตว์อื่น ด้วยเหตุนี้ แมลงปอ จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น "mosquito hawk”


ส่วนอกจะประกอบด้วยขา3 คู่ (6 ขา) ที่มีไว้เพื่อให้มันสามารถจับเหยื่อได้อย่างแน่นหนา และด้านบนของส่วนอกจะเป็นปีกบางใสอีก 2 คู่ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนกล้ามเนื้อที่แข็งแร็งมาก เพราะมีประโยชน์ช่วย ทำให้มันบินได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น


ส่วนท้องจะเป็นพื้นที่สำหรับอวัยวะที่ช่วยในการหายใจและอวัยวะเพศ


โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อถึงเวลาผสมพันธุ์ แมลงปอตัวผู้จะมีช่องเปิดของน้ำเชื้อ ที่ปลายหาง แต่มันจะเอา ถุงน้ำเชื้อมาเก็บไว้ ที่อวัยะเก็บน้ำเชื้อซึ่งอยู่บริเวณหน้าอก จนเมื่อมันเจอกับตัวเมีย มันจะใช้ขาคว้าตัวเมียเอาไว้ แล้วค่อยๆ เกาะหลังตัวเมียไว้จนแน่น จากนั้นทั้งคู่ก็จะบิน เกาะกันไปกลางอากาศในท่าเดิม(tandem position) สักพักตัวเมียจะ เอาช่องเพศของตัวเองขึ้น ไปแตะที่อวัยวะเก็บน้ำเชื้อของตัวผู้ (wheel position) จากนั้น ทั้งคู่ก็อาจจะแยกกัน หรือ พากันบินไปในท่าที่ ยังเกาะกันอยู่ ก่อนที่ตัวเมียจะวางไข่ ซึ่งจะเลือกวางด้วยการดำน้ำ หรือใช้ช่วงท้องแหย่ลงในน้ำ แล้ววางไข่ให้ติดกับพืชน้ำ


เมื่อตัวเมียวางไข่แล้วจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ - 1 เดือนไข่ก็จะฝัก เมื่อไข่ฟักเป็นตัวระยะนี้จะเรียกว่า "ตัวโม่ง" ซึ่งแตกต่างจากแมลงปอที่โตเต็มวัย พวกมันมีปีกขนาดเล็กมาก และฟันล่างขนาดใหญ่ โดยจะอาศัย อยู่ในน้ำ และจับสัตว์น้ำเล็กๆ รวมถึง ลูกปู ลูกหอย ลูกอ๊อดและลูกปลา กินเป็นอาหาร ด้วยเหตุนี้ ตัวโม่งจึงจัดว่ามันเป็นสัตว์ ที่ดุร้ายมากเพราะว่ามันกินไม่เลือกเลย
ตัวโม่งหายใจในน้ำโดย ใช้เหงือกที่อยู่ในระบบการย่อยอาหารในร่างกายของมัน ที่สามารถสกัดออกซิเจน ออกมาจากน้ำได้ โดยมันจะหายใจด้วยการดูดน้ำเข้าไปในท้อง และหลังจากนั้นน้ำจะเลื่อนไปที่เหงือก ซึ่งเป็นเครื่องหายใจเพื่อสกัดออกซิเจน เมื่อได้รับออกซิเจนเพียงพอแล้ว จะพ่นน้ำออกมาอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้น มันยังเป็นระบบการขับเคลื่อน ซึ่งทำงานเหมือนไอพ่น ทำให้ตัวโม่ง สามารถเคลื่อนที่ ไปในน้ำได้อย่างรวดเร็วด้วย
ตัวโม่งจะใช้ชีวิตในน้ำเป็นระยะเวลา 1-4 ปี (ขึ้นอยู่กับพันธ์)โดยระหว่างนั้น พวกมันจะลอกคราบประมาณ 10-15 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้ง ตัวก็จะโตขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย จนกระทั่ง เมื่อลอกคราบครั้งสุดท้าย 
พวกมันก็จะคลาน ขึ้นไปบนกิ่งก้านพืชใกล้ผิวน้ำ แล้วเริ่มหายใจด้วยท่ออากาศ ซึ่งอยู่ภายในร่างกาย หลังจากนั้นคราบจะค่อยๆ ถูกลอกออก เริ่มจากส่วนหัว ท้อง ขา และปีก ตามลำดับ จากนั้นปีกจะค่อยๆ กางออกอย่างช้าๆ เลือดในร่างกาย จะถูกปั้มเข้าไปในปีก โดยใช้เวลาหลายชั่วโมง กว่าปีกจะแข็งแรง และกลายเป็นแมลงปอ ที่พร้อมจะบินและล่าเหยื่อ อย่างพวก ยุง เพลี้ย ยุง ริ้น แมลงวัน ผีเสื้อ ผึ้ง รวมทั้งแมลงปอด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ มันสามารถใช้ชีวิตเป็นแมลงปออย่างสมบูรณ์ ได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น


ที่มา:http://www.thaigoodview.com/node/114922
      www.teenee.com

วันที่สืบค้น  1/2/2556



วงจรชีวิตของแมลง







          วงจรชีวิตของแมลง  หมายถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของแมลง ตั้งแต่ระยะแรกถึงระยะสุดท้าย  โดยจะแบ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง 2 แบบ คือ การเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์ และการเปลี่ยนแปลงรูปร่างที่ไม่สมบูรณ์ จะทำให้เกิดการขยายพันธุ์ ให้แมลงยังคงอยู่ตลอดไป 

          1. การเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์ มีการเปลี่ยนแปลง 4 แบบ คือ  ไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ และตัวเต็มวัย ทั้งสี่แบบนี้ จะมีรูปร่างไม่เหมือนกัน  ตัวอ่อนจะแตกต่างจากพ่อแม่มาก ตัวอ่อนจะกินอาหารแตกต่างจากพ่อแม่  และลอกคราบหลายครั้ง เมื่อเจริญเต็มที่ก็จะหยุดกินอาหาร และเปลี่ยนรูปเป็นดักแด้  ในระยะนี้ แมลงบางชนิดจะปั่นไยไหมห่อหุ้มตัวเอง บางชนิดจะมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะบริเวณผิวหนัง โดยที่ผิวหนังที่เคยนิ่ม กลายเป็นปลอกแข็งหุ้มตัว ในระหว่างที่มันหยุดนิ่งเฉยนี้จะมีการเปลี่ยนรูปร่างลักษณะไปเป็นแมลงที่สมบูรณ์เต็มที่ เมื่อการเจริญครบกำหนดเวลาแมลงภายในใยไหมหรือปลอกดักแด้ก็จะเจาะออกมาเป็นแมลงที่โตเต็มที่  แมลงส่วนใหญ่จะเจริญเติบโตโดยการเปลี่ยนรูปร่างแบบสมบูรณ์ เช่น ผีเสื้อกลางวัน ผีเสื้อกลางคืน แมลงช้าง แมลงวัน เป็นต้น 

          2. การเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบไม่สมบูรณ เมื่อไข่ฟักออกมาแล้วจะกลายเป็นตัวอ่อนที่มีรูปร่างใกล้เคียงพ่อแม่  แต่ไม่มีปีก และมักจะมีนิสัยตลอดจนที่อยู่อาศัยต่างจากพ่อแม่ด้วย  พวกแมลงโบราณ ซึ่งเป็นแมลงชนิดที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปจากต้นตระกูล
ซึ่งเกิดขึ้นในโลก  เมื่อหลายร้อยล้านปี ไข่ของแมลงดังกล่าวนี้เมื่อฟักออกมาแล้ว  จะกลายเป็นตัวอ่อนที่มีรูปร่างเหมือนพ่อแม่ ผิดแต่มีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น  ตัวอย่างของแมลงพวกนี้ได้แก่ ตัวสามง่าม


ที่มา:http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=4460221892923724038#editor/target

วันที่สืบค้น 1/2/2556

สัณฐานของแมลง
นักวิทยาศาสตร์ได้กำหนดลักษณะของแมลงไว้ว่า แมลงคือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มี 6 ขา ร่างกายแบ่งออกได้ 3 ส่วน คือ หัว อก และท้องแยกกันชัดเจน อาจมีปีกหรือไม่ก็ได้ แมลงมีสัณฐานวิทยาและการเจริญเติบโต ดังนี้ สัณฐานวิทยาของแมลงประกอบไปด้วย

องค์ประกอบภายในตัวแมลงจะประกอบด้วยระบบต่างๆ ได้แก่ ระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร ระบบหมุนเวียนโลหิต ระบบขับถ่าย ระบบหายใจ และระบบสืบพันธุ์ ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะระบบ สำคัญๆ เท่านั้น 


ระบบประสาท จะประกอบด้วย 3 ระบบใหญ่ๆ คือ central nervous system , visceral nervous system, peripheral nervous system  

ระบบทางเดินอาหาร ประกอบด้วย ต่อมน้ำลาย กระเพาะพัก กึ๋น ติ่งน้ำย่อย ลำไส้ส่วนกลางจนไปถึง ทวารหนัก ซึ่งแต่ละส่วนจะทำหน้าที่คล้ายกับระบบย่อยอาหารของมนุษย์   

ระบบหายใจ แมลงหายใจโดยใช้ท่อลม (trachea) และ รูหายใจ (spiracle)  ส่วนตัวอ่อนของแมลงที่อาศัยในน้ำจะใช้เหงือกในการหายใจ 



ที่มา: http://www.kksci.com/elreaning/malan/page/e-lokron_1.htm
วันที่สืบค้น  1/2/2556



ความเป็นมาและการดำรงชีวิตของแมลง
     
 เมื่อประมาณ 300 ล้านปีมาแล้ว  โลกเริ่มมีป่าไม้และหนองน้ำใหญ่บนแผ่นดิน ระยะนี้เองที่ได้เกิดมีแมลงขึ้นบนโลก  แมลงชนิดแรกได้แก่ แมลงปอและแมลงสาบ แมลงในสมัยนั้นมีขนาดใหญ่จนอาจเรียกได้ว่า “แมลงปอยักษ์” เพราะมีความยาววัดจากปลายปีกถึง 20 เซนติเมตร  ส่วนแมลงสาบก็อาจถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของแมลงสาบปัจจุบัน  เพราะมีรูปร่างและนิสัยเหมือนกันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เนื่องจากแมลงเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง  เนื้ออ่อนนุ่มนิ่ม ปีกบางใส ฟอสซิลของแมลงโบราณ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญจึงได้หายากยิ่ง  หลักฐานเกี่ยวกับแมลงโบราณที่พอจะหาได้ คือ ซากของแมลงในก้อนอำพันซึ่งมีอายุ  60 ล้านปี 







แมลง  หมายถึง  สัตว์ที่มีขา 3 คู่  มีหนวด  ลำตัวแบ่งออกได้    3  ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว,ส่วนอก และส่วนท้อง    

 ในขณะที่แมงจะหมายถึง  สัตว์ที่มีขา 4 คู่ ไม่มีหนวด  ลำตัวแบ่งออกเป็น 2ส่วน ได้แก่  ส่วนหัวและส่วนท้อง จากสภาพแวดล้อมและการขัดเกลาทางสังคมที่เป็นตัวหล่อหลอม ชีวิต  ความคิด ความเข้าใจ ทัศนคติ   รวมถึงมโนทัศน์ของชาวบ้าน   ทำให้คำว่า  “ แมลง”ของชาวบ้านแตกต่างไปจากการจัดแบ่งสัตว์ตระกูลแมลงตามแนวของนักอนุกรมวิธานและนักกีฏวิทยา  การกำหนดว่าสัตว์ชนิดใดเป็นแมลงนั้น    ชาวบ้านสังเกตจากสิ่งเหล่านี้เป็นเกณฑ์ในการแบ่ง  ได้แก่ 
1. ลักษณะทางกายภาพ สัตว์ที่ชาวบ้านถือว่าเป็นแมลงจะพิจารณาจากลักษณะทางกายภาพเป็นสำคัญ คือ แมลงต้องมีขนาดเล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไป โดยมีคำจำกัดความว่าต้องไม่ใหญ่เกินนกมีขามากกว่านก คือ มีขาตั้งแต่ 6 ขาขึ้นไป และต้องเป็นสัตว์ที่รับความรู้สึกทางหนวดซึ่งมีไว้รับความรู้สึกเกี่ยวกับอันตรายต่างๆ  รอบๆ ตัว
2. ลักษณะการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวเป็นสิ่งหนึ่งที่กำหนดว่าสิ่งมีชีวิตแบบใดถูกจัดให้เป็นแมลง การเคลื่อนไหวของแมลงในทัศนะของชาวบ้านแบ่งได้ 2 ประเภท คือ
   2.1 ใช้ขาในการเคลื่อนไหว สัตว์ประเภทแมลงต้องใช้ขาในการเดินหรือไต่ไปตามที่ต่างๆ บางประเภทเดินเร็ว บางประเภทเดินช้า ลักษณะพิเศษ
คือ การไต่หรือเดินของแมลงนี้สามารถทำได้ในพื้นที่ทุกลักษณะ ทุกระนาบ มีการเกาะติดเพราะมีเล็บขาที่แข็งแรง
   2.2 ใช้ปีกในการเคลื่อนไหว สัตว์ประเภทแมลงบางชนิดใช้ปีกในการเคลื่อนไหว  ปีกนั้นต้องไม่ใหญ่จนเกินไป ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ประเภทอื่นๆ 
ที่มีปีกหนา นุ่ม มีขน แต่ปีกแมลงไม่มีขน และแมลงจะบินได้เป็นครั้งคราว กล่าวคือ บินได้ไม่นานก็ต้องหยุดพัก ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ประเภทอื่นๆ  อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปีกเล็ก แมลงก็สามารถเคลื่อนที่ได้ไวและหลบหนีการไล่ล่าได้เร็วกว่าสัตว์ปีกประเภทอื่นๆ  
3. ลักษณะของแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งที่อยู่อาศัยก็เป็นเกณฑ์หนึ่ง  ที่แสดงให้เห็นว่า สัตว์ประเภทใดอยู่ในจำพวกแมลง ในมโนทัศน์ของชาวบ้านแมลงสามารถอยู่อาศัยได้ทั้งบนบกบนฟ้า และในน้ำ
   3.1 บนบก ชาวบ้านมีความเข้าใจว่าสัตว์ตัวเล็กๆ  ที่อาศัยอยู่บนบกและชอบขุดรูอาศัยอยู่ใต้ดินนั้นส่วนใหญ่เป็นแมลง  ซึ่งเป็นการขุดอยู่เพียงชั่วคราว โดยขึ้นอยู่กับฤดูกาล และความยาวนานของการฟักไข่  หรือในบางครั้งก็ขึ้นมาอยู่บนบกตอนกลางวัน และขุดรูอาศัยอยู่ตอนกลางคืน  อีกพวกหนึ่งได้แก่ สัตว์ตัวเล็กๆ ที่อยู่
บนบกและชอบเกาะตามกิ่งไม้ก็ถือเป็นแมลงอีกเช่นกัน ชาวบ้านมีความคิดว่าแมลงบนบกต้องอยู่ในแหล่งดังกล่าวเท่านั้น  คือ ขุดรูอาศัยอยู่ในดินกับเกาะตามกิ่งไม้ นอกเหนือจากนี้ไม่จัดว่าเป็นแมลง ตัวอย่างเช่น แมลงป่อง ชาวบ้านไม่ถือว่าเป็นแมลงเพราะแหล่งที่อยู่อาศัยไม่ได้อยู่ในดินและตามกิ่งไม้ ชาวบ้านจะเรียกว่า “ตัวงอด” ซึ่งไม่ได้เป็นแมลงในมโนทัศน์
ของชาวบ้าน
    3.2 ในน้ำ แมลงบางประเภทก็เป็นสัตว์อีกจำพวกหนึ่งที่อาศัยอยู่ในน้ำนอกเหนือจากปู ปลา  กุ้ง  หอย  สัตว์อื่นๆที่เป็นสัตว์เล็กและมีจำนวนมากๆ ถือว่าเป็นแมลง
     3.3 บนฟ้า สัตว์ที่บินได้และมีขนาดลำตัวที่เล็ก ไม่มีขน ถือว่าเป็นแมลง
4. ลักษณะการขยายพันธุ์ แมลงเป็นสัตว์ที่มีการขยายพันธุ์คราวละมากๆเป็นร้อยเป็นพันตัว  ในขณะที่สัตว์ประเภทอื่นไม่มีลักษณะพิเศษเช่นนี้ การขยายพันธุ์แมลงต้องมีการวางไข่ ฟักเป็นตัวอ่อน(ชาวบ้านเรียกว่าลูกขี้) และมีการฟักตัวเป็นดักแด้(ชาวบ้านเรียกว่าลูกนาง) และเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัย(ชาวบ้านเรียกว่าตัวแก่) ลักษณะวงจรชีวิตดังกล่าวทำให้แมลงแตกต่างจากสัตว์ประเภทอื่นๆ


          ทั้งนี้  พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานปี พ.ศ.2542 ให้นิยามของ“แมง”  หมายถึง ชื่อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่มีร่างกาย  แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหัวกับอกรวมเป็นส่วนเดียวกัน และมีส่วนท้องอีกส่วนหนึ่ง มีขา 8 หรือ 10 ขา ไม่มีหนวด ไม่มีปีก เช่น แมงมุม แมงดาทะเล 

แมงป่อง  ส่วน “แมลง” นิยามว่าหมายถึง ชื่อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เมื่อร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่แบ่งออกเป็น
3 ส่วน เห็นได้ชัดเจน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้อง มี 6 ขา เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังพวกเดียว
ที่มีปีก ซึ่งอาจมี 1 หรือ 2 คู่ แต่อาจพบพวกที่ไม่มีปีกก็ได้  เป็นสัตว์ที่มีมากชนิดที่สุดในโลก ซึ่งทั้ง 2 คำนี้มักมีการนำไปใช้สับกันอยู่เสมอๆ 
          ขณะที่ข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์และอุทยานแมลง 60 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชี้ลงไปว่า แมลง คือสัตว์ในไฟลัมอาร์โทโพดา ในคลาสอินเซ็คตา ต่างจากสัตว์บางตัวที่เรียกภาษาไทยว่า "แมง" ซึ่งจัดอยู่ในคลาสอะแรชนิด




ที่มา:http://www.kksci.com/elreaning/malan/page/e-lokron_1.htm
         www.biogang.com
         www.rightpestfech.com

สืบค้นวันที่ 1/2/2556